หลังจากที่ได้รู้จักกับ HHI Thailand กันไปแล้ว (ใครยังไม่เคยอ่าน คลิ๊กไปอ่านกันได้เลย) วันนี้ V.A.C. Cavemen ขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ทีมเต้นสัญชาติไทยที่ไปคว้าอันดับที่ 5 ของโลกในการแข้งขัน World Hip Hop International ที่ Las Vegas ประเทศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่พูดถึงอย่างมากในกลุ่มนักเต้นและเพื่อน ๆ ชาวไทยที่มีโอกาสได้ชมการแสดงของทีม D-Maniac ต่างชื่นชมเพราะเค้าได้นำศิลปะวัฒนธรรมไทยมาผสมผสานกับการเต้นฮิปฮอปได้อย่างลงตัว วันนี้เราได้เชิญตัวแทนนักเต้นจากทีม D-Maniac มาพูดคุยกันครับและต้องบอกว่าทีมนี้ไม่ธรรมดาเคยไปออกรายการ “ตื่นมาคุย” และอีกหลายรายการครับ

เราได้พบกับน้อง ๆ 5 คนจากทีม D-Maniac โดยเริ่มจากซ้ายไปขวาคือ แมค, นุ๊ก, ปั๊ม, ทราย, กวาง พวกเค้าเหล่านี้คือตัวแทนของคนไทยที่ได้ไปแข่งขันในรายการ World Hip Hop International ที่ Las Vegas โดยวันนี้พวกเค้าจะมาเล่าถึงประวัติความเป็นมาของทีม D-Maniac ให้ทุกคนได้รู้กัน รวมไปถึงความรู้สึกในการเป็นอันดับที่ 5 ของโลกเนี่ย มันเป็นยังไงกัน!

V.A.C. Cavemen : สวัสดีครับ อย่างแรกเลย ถ้าหากเราพูดถึงเรื่องการเต้นในประเทศไทยนั้นยังไม่กว้างขวางนัก ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนมองว่ามันเป็นการ “เต้นกินรำกิน” เราอยากรู้ว่าทำไมพวกคุณถึงชอบการเต้นฮิปฮอปกันครับ

D-Maniac : ปั๊ม “เราไม่สามารถเลือกได้ว่าเราจะชอบอะไร แต่สิ่งที่เราชอบมันเลือกเรามาตั้งแต่เกิดแล้วครับ อย่างสิ่งที่พวกเราชอบคือ “การเต้น” แต่หลังจากนั้นมันอยู่ที่ว่า เราจะทำสิ่งที่เราชอบให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นได้อย่างไร…”

ทราย “ทรายรู้สึกว่ามันคือวัฒนธรรม มันเริ่มจากชีวิต…ส่วนสิ่งที่ตามมาคืออิสระ ชีวิตคนเราใช้ในทิศทางไหนก็ได้ ไม่มีขีดจำกัด มันยืดหยุ่นได้ตลอดเวลาและสามารถระบุความเป็นตัวตนได้ ถึงแม้ไลฟ์สไตล์แบบนี้จะไม่ถูกเรียกว่า ฮิปฮอป แต่ทรายคิดว่าทรายก็คงใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ดี เพราะเราเป็นในแบบนั้น”

แมค “สำหรับผม วัฒนธรรมฮิปฮอปก็เหมือนกับเฟซบุ้คครับ มันเป็นโซเชียล เวลาเราเห็นคนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน ก็จะพามาเจอกันในสังคมเดียวกัน เป็นมากกว่าคำว่าเต้นมันคือชีวิตเลยครับ…”

V.A.C. Cavemen : แล้วอย่างที่บอกว่าฮิปฮอปมันเป็นเหมือนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การกิน การอยู่ แล้วทำไมพวกเราถึงเลือกการเต้นครับ

D-Maniac : กวาง “พอเราได้เข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมที่เรียกว่าฮิปฮอปแล้ว เราได้ฟังเพลง ได้ขยับตัว มันมีความเป็นตัวตนของเรามากที่สุด ทำแล้วรู้สึกว่ามันไปต่อได้ มีเพื่อนที่พร้อมจะก้าวไปกับเราได้ค่ะ”

V.A.C. Cavemen : ทีนี้เรามาพูดถึงทีม D-Maniac บ้างดีกว่าครับ แต่ละคนมารวมตัวกันได้ยังไง

D-Maniac : กวาง “เรื่องมันยาวมากค่ะ เริ่มจาก ปั๊ม ทราย กวาง เมื่อก่อนพวกเราเป็นพี่ ๆ ในสตูดิโอ Dance Maniac เมื่อตอนปี 2006 พวกเรามีอุดมการณ์เหมือนกัน ชอบการเต้นเหมือนกัน ค่อย ๆ รวมตัวคนที่ชอบเต้นกันมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันมีสมาชิกในแฟมิลี่ของเราร่วม 60 คนค่ะ แต่ที่ไปร่วมแข่งขัน HHI คือ 27 คน ซึ่งคนที่เหลือก็ยังฝึกอยู่กับเรา คอยสนับสนุนกันตลอดการแข่งขันค่ะ”

V.A.C. Cavemen : กับการเลือกเส้นทางเป็นนักเต้น เจอปัญหาอะไรกับที่บ้านบ้างไหมครับ

D-Maniac : นุ้ก “ตอนแรก ๆ พ่อแม่เราเค้าอาจจะหัวโบราณคิดว่าการเต้นเนี่ยมันจะเลี้ยงตัวเองได้หรอ พอเราเรียนจบก็เริ่มทำงานประจำเลย การเต้นเป็นแค่งานอดิเรก จนเราได้มาเข้าทีมนี้แล้วรู้สึกว่าเค้ามีวิธีให้เราคิดออกจาก Safe Zone งานประจำที่ทำเราก็รัก แต่เราทำเพื่อเงินมากกว่า ไม่ใช่ทำเพราะใจรักจริง ๆ ถึงงานที่ทำประจำตอนนั้นจะเป็นสิ่งที่เราเรียนมาก็ตาม แต่มันก็มีสิ่งที่ใจเราเรียกร้องมากกว่านั้น สุดท้าย…เราก็เลือกที่จะออกจากงานประจำโดยที่ไม่ได้บอกพ่อแม่ ออกมาได้เดือนนึงถึงบอกท่านทั้งสองคนว่าเราออกจากงานประจำแล้ว หลังจากนั้นก็ได้พิสูจน์ให้เค้าเห็นว่าตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ร่วม 2 ปีแล้วเราก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ได้ไปต่างประเทศทุกปี รวมถึงเราก็ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมด้วย”

ปั๊ม “เมื่อก่อนผมก็มีปัญหากับที่บ้านมากครับ เพราะครอบครัวผมเป็นครอบครัวข้าราชการ ดังนั้นเค้าจะไม่โอเคกับอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ข้าราชการหรืองานประจำ แล้วด้วยการที่มาเต้นแบบนี้…คำแรกที่ผมเจอเลยก็คงไม่พ้นคำยอดฮิตอย่าง เต้นกินรำกิน เค้าจะไม่เข้าใจว่าการเต้นมันเป็นอาชีพได้จริงหรอ ถ้าแก่ตัวไป เต้นไม่ได้แล้วจะทำอะไรได้ ซึ่งเราเองมีภาพในหัวแล้วว่าจะทำอะไรต่อได้บ้าง แต่ด้วยบริบทที่เค้าโตมา เค้าเห็นภาพไม่เหมือนเราดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ…เราต้องเชื่อในตัวเองและต้องทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้เค้าเห็น แต่ไม่ได้ทำเพื่อเอาชนะเค้านะครับ มันเป็นการต่อสู้กับตัวเองจนวันนึงเรามีการงานที่ดี มีเงิน มีชื่อเสียง มันก็จะพิสูจน์กับเค้าได้เอง เพราะเค้าไม่ได้อยากให้เราเป็นแบบเค้าขนาดนั้นหรอกครับ เค้าแค่ต้องการให้เราอยู่รอดในสังคมนี้ได้ ถ้าเราสามารถพิสูจน์ให้เค้าเห็นได้ว่าเราเอาตัวรอดได้และมีความมั่นคงในชีวิต ผมเชื่อว่าผู้ปกครองทุกคนจะเข้าใจครับ แต่ก็ต้องอาศัยความอดทนอย่างสูงด้วยนะครับ”

ทราย “ตัวทรายเองก็เจอคล้าย ๆ กับคนอื่นค่ะ เพราะคุณป้าเป็นคนเลี้ยงทรายมา ซึ่งค่อนข้างหัวโบราณมาก ๆ อาจจะเพราะเราเป็นคนต่างจังหวัดด้วย เค้าคิดต่างจากพวกเรามาก แต่พอเราเลือกทางนี้อย่างจริงจังแล้วเค้าก็ไม่ขัดขวางแต่อย่างใด บอกแค่เพียงว่า…ให้เราเลี้ยงดูตัวเองแล้วกัน เค้าจะไม่เลี้ยงดูเรานะ ด้วยอายุในตอนนั้นเราก็ตกใจนะคะแต่…เราเป็นคนที่เวลาเลือกอะไรซักอย่างแล้วเราจะเต็มที่กับมัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้รบกวนเค้าอีกเลยแต่กลับกลายเป็นเค้าที่เป็นฝ่ายรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเราแทน เราสร้างชื่อเสียงเค้าก็ชื่นชมแถมยังเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง ซึ่งสำหรับทรายนั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ค่ะ”

V.A.C. Cavemen : หลังจากรวมทีมกันได้แล้ว จุดเริ่มต้นของการไปแข่ง HHI เป็นยังไงบ้างครับ

D-Maniac : คนที่ชอบเต้นจะรู้จักรายการ HHI กันอยู่แล้วครับ มันเป็นงานแข่งที่เจ๋งมาก ๆ นักเต้นทุกคนใฝ่ฝันที่จะได้ไปแข่งเวทีนี้ มันคือที่สุดของที่สุด การที่จะได้ไปร่วมแข่งรายการนี้ถือว่าเป็นเกียรติสำหรับตัวเองมาก ๆ จุดเริ่มต้นมาจากการที่เราได้รับเชิญไปโชว์เคสที่ประเทศสิงคโปร์แล้วเราได้เจอเพื่อนคนไทยคนนึงที่ไปอยู่ที่สิงคโปร์ เค้าบอกว่าเค้าเห็นศักยภาพของเราที่เหมาะสมและเพียงพอที่จะส่งตัวเองเข้าไปเพื่อที่จะได้รับการคัดเลือกได้ ซึ่งตอนแรกเราไม่รู้ช่องทางการเข้าประกวดเลยว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้เข้าไปประกวด ซึ่งเพื่อนคนนี้ถือเป็นคนที่ทำให้ชีวิตพวกเราทุกคนเปลี่ยนไป พอกลับมาไทย…พวกเราเริ่มรวบรวมผลงานทุกอย่างทั้งส่วนบุคคลและในส่วนของทีม จนเค้าติดต่อกลับมาว่าคุณมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าแข่งขันได้…ถึงแม้พวกเราจะต้องรอถึง 3 เดือน กว่าทางนั้นจะตอบกลับมา แต่ความรู้สึกหลังจากที่เค้าติดต่อกลับมามันยิ่งกว่าถูกหวยอีกครับ แค่คำว่า “Welcome D-Maniac” นี่คือแบบ อร้ากกกกกกกก!!! กรี้ดบ้านแตกกันหมด เพราะว่าเงื่อนไขการเข้าแข่งขันค่อนข้างยากและซับซ้อนไม่ใช่แค่ส่งชื่อไปแล้วจะได้เข้าแข่งขัน เค้าจะดูว่าทีมคุณมีผลงานรึเปล่า เคยแข่งในระดับนานาชาติมั้ย เคยไปคว้าแชมป์ที่ไหนบ้าง รวมทีมกันมานานแค่ไหน เพราะข้อแม้นึงที่เค้าต้องการเลยคือคุณจะต้องเคยเป็นแชมป์ในประเทศตัวเองและเคยไปคว้าแชมป์ที่ต่างประเทศด้วย พอได้ไปแล้วมันตื่นเต้นมากครับ ทุกอย่างที่เคยเห็นในทีวี ในหนัง มันเป็นแบบนั้นเลย เอาจริง ๆ มันเป็นยิ่งกว่านั้นอีกครัง มันคือการรวมตัวกันของนักเต้นระดับทอปของทุกประเทศ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไปเป็นตัวแทนของประเทศไทย นั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างครับ

V.A.C. Cavemen : จากปี 2011 ที่ได้ไปแข่งโดยไม่ต้องแข่งขันกับใคร จนในปัจจุบันนี้ต้องผ่านการคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทย พวกคุณมีการเตรียมตัวกันอย่างไรบ้างครับ

D-Maniac : แมค “พวกเราไม่ประมาทกันอยู่แล้วครับ นักกีฬาทุกครั้งที่แข่งขันเสร็จก็จะกลับมาฝึกซ้อมต่ออย่างแน่นอน สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ สิ่งที่ทำได้คือ ฝึกซ้อม ทำยังไงก็ได้ให้เค้าเลือกหยิบใช้งานเรา ตอนนี้ทักษะทุกคนสูงเท่ากัน เราจะทำยังไงให้เค้ามองเห็นเราและเลือกเราไปใช้ ถ้าเรารอให้ใกล้แข่งแล้วค่อยซ้อมมันไม่ได้หรอกครับ อย่างที่บอกมันเหมือนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การที่เราหยุดเต้นก็เหมือนกับหยุดชีวิตของพวกเราเองครับ ทางทีมจะสอนให้เราพัฒนาตัวเองตลอดเวลา การเต้นไม่มีคนที่เก่งที่สุด มันพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ คนที่เป็น Legend เค้าก็ยังพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ตัวผมเองก็มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไปเข้าคลาสบ้าง ไปต่างประเทศบ้าง ทุกวันนี้คนที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกเราก็ยังไม่เคยหยุดเลยครับ ยิ่งทีมเรา Living With Passion อยู่ตลอดเวลา เราจึงไม่เคยคิดที่จะหยุดเต้นเลย น้อง ๆ ในทีมส่วนใหญ่เป็นเด็กในวัยเรียน เค้ารู้ตัวเองว่าเค้าทำอะไรได้มากกว่าแค่เรียนหนังสือ เค้าสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศของเราได้ เค้าเต้นได้ เค้าจึงเลือกที่จะฝึกซ้อมอย่างมีวินัยแต่ก็ไม่ละทิ้งการเรียน ซึ่งการเรียนของแต่ละคนนี่ทางเราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยครับว่าเด็ก ๆ ในทีมแต่ละคนผลการเรียน 3.5 ขึ้นทุกคน”

V.A.C. Cavemen : ในปีล่าสุดที่ Las Vegas ทีม D-Maniac ได้ไปร่วมแข่งในงาน
World Hip Hop International อีกครั้ง การแสดงโดดเด่นมาก ช่วยเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ไปแข่งที่ Las Vegas ให้พวกเราฟังหน่อยครับ

D-Maniac : การแสดงของเรานั้นเริ่มจากการที่พวกเรามีโอกาสได้ไปดูละครหุ่นเฉิดของโจหลุยส์ ตอน “ครุฑานุภาพ” ครั้งแรกที่ได้ดูมันเหมือนมีอะไรมากระแทกในจิตวิญญาณของเรา นี่แหละ…ใช่เลย!! เป็นอะไรที่ลงตัวระหว่างไทยและนานาชาติ เหมือนต้มยำกุ้งรสแบบไทยแต่ฝรั่งกินได้และยังคงความแซ่บไว้ เราอยากนำ 2 วัฒนธรรมนี้มารวมกันแล้วโชว์ให้ทั่วโลกได้เห็น เริ่มจากไอเดียการแต่งกาย การเชิดหุ่นขึ้นไป ซึ่งความยากอยู่ที่ว่าเราจะผสม 2 สิ่งนี้ให้ลงตัวได้อย่างไร พวกเราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราได้น้อง ๆ ในทีมมาช่วยพวกเราอย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างเช่นแมคก็ช่วยดูเรื่องเพลงด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วเพลงเป็นส่วนสำคัญมาก เพราะเพลงทำให้คนมีอารมณ์ร่วม ถ้าเค้ารู้สึกร่วมไปกับเราแสดงว่าเราประสบความสำเร็จ เพราะน้อง ๆ เค้ารวมหัวกันทำให้งานออกมาได้เป็นอย่างดี ผลงานล่าสุดที่ผ่านมามันไม่ใช่แค่คน ๆ เดียวคิด คน ๆ เดียวเต้น แต่เป็นการร่วมมือกันของทุกคน บนเวทีอาจจะมีแค่ 27 คน แต่ข้างหลังเรา ครอบครัวเรายังมีอีกเป็น 100 คนที่เข้ามาช่วยเหลือ และอีกเรื่องนึงที่ทำให้คนดูรู้สึกและเข้าถึงหัวใจคนไทย ดูได้จากการที่มีคนไทยมาคอมเม้นขอบคุณกันเยอะมาก ๆ พวกเราเชื่อว่าทั้ง 27 คนที่ไปเป็นตัวแทนทุกคนนั้นศรัทธาในความเป็นไทย แสดงออกมาจากจิตวิญญาณ ต้องบอกเลยว่าประเทศไทย วัฒนธรรมไทยนี่เจ๋งจริง ๆ ครับ ใครเห็นก็ต้องร้อง อ๋อ!!! นี่แหละ Thailand!!!

V.A.C. Cavemen : เพื่อน ๆ ต่างชาติที่ไปร่วมแข่งในรายการนี้พูดถึงโชว์ของเราว่ายังไงบ้างครับ

D-Maniac : ทุกคนแปลกใจมากว่าเราเอาวัฒนธรรมไทยมาแสดงร่วมกับการเต้นฮิปฮอปได้อย่างไร เพราะการเต้นกับการรำนี่มันคนละทางกันเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่ประเทศเราที่นำวัฒนธรรมมาผสมผสานกับการเต้น แต่ละประเทศก็จะมีการนำวัฒนธรรมของแต่ละประเทศมาร่วมถ่ายทอดลงไปด้วย แต่ของเรานั้นมีแต่คนชมครับ อาจจะเพราะความอ่อนช้อย พอเราเอามาใส่กับการเต้นฮิบฮอปที่มันดูดิบ ๆ ตอนแรกคนอาจจะมองว่าขัดกันแต่แค่เราเชื่อ…เชื่อว่าเราจะทำมันออกมาได้ดี มันก็จะออกมาดีครับ แค่เราจีบมือขึ้นมาก็ได้ความเป็นไทยแล้ว มันเหมือนเราใช้ชีวิตกับฮิปฮอปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตวิถีไทย สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาเลยทำได้อย่างลงตัว เหมือนเราไม่ได้พยายามฝืนทำมันออกมา ทุกอย่างจึงดูเป็นธรรมชาติ กลมกล่อม…หลาย ๆ คนบอกว่าโชว์ของเราดูขลัง ไม่ใช่แค่คนไทยนะครับ ชาวต่างชาติหลาย ๆ คนหรือกระแสในอินเตอร์เนทต่างก็บอกว่าไม่เคยเจอโชว์แบบนี้มาก่อน

V.A.C. Cavemen : กว่าจะมาถึงจุดนี้กับตำแหน่งที่ 5 ของโลก เจอปัญหาอะไรในทีมบ้างครับ

D-Maniac : ปัญหามันมีอยู่แล้วครับ แต่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา ทุก ๆ ปัญหาที่เราเจอ เราจะมองว่ามันเป็นบทพิสูจน์ที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ปัญหาที่เจอทุกปีคือ “สมาชิก” ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยธุระส่วนตัวหรือเหตุผลอื่น ๆ ก็ตาม ทำให้การฝึกซ้อมไม่ต่อเนื่อง แต่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เราเทรนด์ทุกคนเท่ากันเพื่อที่ว่าเราจะได้เลือกน้อง ๆ มาใช้งานได้ตามความเหมาะสม แต่เราจะคอยสนับสนุนทุกคนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ส่วนปัญหาในปีนี้ที่เราเจอคือเรื่องของกระเป่าเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเรา การที่กระเป๋าไม่เดินทางตามเรามาด้วยนั้นทำให้เราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอย่างปัจจุบันทันด่วน เราแข่งทั้งหมด 27 คน แต่กระเป๋า 40 กว่าใบไม่ตามมา สิ่งที่เราทำได้คือต้องเดินหน้าต่อ เรามาทำอะไร มาเพื่ออะไร ณ ตอนนั้นทุกคนรวมใจกันเพื่อแก้ปัญหาโดยเราใส่ชุดเดิม 5 วัน!!! มาชุดไหนก็ใส่ชุดนั้นขึ้นแข่งเลยครับ ซึ่งถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่เราทุกคนใส่ชุดเหมือนกันในวันเดินทาง สิ่งนี้ทำให้เราได้เห็นว่าการเต้นจริง ๆ มันอยู่ที่ข้างในหาใช่เปลือกนอกไม่…มันเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น แต่เนื้อแท้จริง ๆ คือข้างในตัวตนของทุกคนต่างหาก เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ทุกคนรู้ว่าถ้าข้างในเราเป็นยังไง เราก็จะเป็นแบบนั้น แต่พอถึงวันที่เราได้ชุดมาครบ มันก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้เราได้ทำโชว์ตามที่ได้วางแผนไว้แล้วครับ

V.A.C. Cavemen : หลังจากแข่งรอบสุดท้ายแล้วเค้าประกาศว่าเราได้อันดับที่ 5 ของโลก ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ

D-Maniac : ต้องเริ่มจากวินาที่ที่เค้าประกาศ 7 ทีมสุดท้ายก่อนค่ะ ซึ่งจริง ๆ แค่เข้ารอบสุดท้ายก็ถือว่าที่สุดของชีวิตแล้ว จาก 70 กว่าทีมในแต่ละรุ่น ระดับทอปของแต่ละประเทศ ในวันแรกเค้าตัดจาก 72 ทีมเหลือ 36 ทีม ซึ่งเค้าเริ่มประกาศจากอันดับที่ 36 ไล่มาเรื่อย ๆ ทอป 20 ก็ยังไม่มีชื่อเรา ทอป 10 ก็ยังไม่มีชื่อเรา ซึ่งเราอาจจะหลุดไม่ติด 36 ทีมเลยก็ได้ แต่พออันดับที่ 7 ขึ้นต้นคำว่า “D” เท่านั้นแหละค่ะ ทุกคนเฮกันสุดชีวิตอย่างกับว่าทีมเราได้เข้ารอบสุดท้ายแล้ว เพราะเราผ่านอะไรมาด้วยกันไม่ว่าจะเรื่องชุดที่ไม่พร้อม ต้องใส่ชุดในวันเดินทางลงแข่ง แต่ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองมาอยู่เป็นอันดับที่ 7 ของโลกได้ในวันแรก สำหรับวันที่ 2 เค้าจะคัดแค่ 7 ทีมเพื่อเข้ารอบสุดท้าย วินาทีแรกที่เค้ากาศที่ 7 ไม่ใช่เรา นั่นยิ่งทำให้เรามั่นใจเพราะเราทำได้ดีกว่าเมื่อวาน ไม่น่าจะอันดับต่ำลงได้ พอประกาศที่ 6 ว่าเป็น “D-Maniac” เท่านั้นแหละค่ะ วิ๊งค์เลย สิ่งที่ทุกคนทำคือวิ่งขึ้นเวทีแล้วคว้าธงชาติไทยโบกสะบัดบนเวทีเลยครับ นั่นคือครั้งแรกที่ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของคนไทยในการได้เข้ารอบสุดท้ายท่ามกลางแต่ละประเทศที่เข้าแข่งขันมามากกว่า 10 ปี แต่เราเพิ่งเข้าแข่งขันเป็นปีที่ 3 ในรุ่นนี้เอง จนเค้าประกาศครบทุกอันดับแล้วเรายังดีใจกันอยู่เลย ร้องไห้กันจนน้ำตาแห้งอ่ะค่ะ คนไทยไปแข่งกันทั้งหมด 70 กว่าคน แต่วินาทีนั้นอีก 50 กว่าคนที่อยู่ข้างล่างก็ร้องไห้ร่วมยินดีไปกับเราด้วย สำหรับตัวทราย ทรายรู้สึกว่าเราเป็นตัวแทนคนไทย เป็นตัวแทนของคนที่มาแข่งด้วยกัน ทรายรู้สึกว่าเราตอบแทนประเทศไทยได้แล้ว เพราะเราพูดกันบ่อย ๆ ว่าขอซักครั้งที่คนไทยจะต้องขึ้นไปในรอบสุดท้าย อาจจะไม่ใช่ทีมเรา แต่ขอแค่เพียงธงชาติไทยได้ไปโบกสะบัดในรอบสุดท้ายแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ ขอให้มีรูปในหลวงไปอยู่ตรงนั้น ได้ร้องเพลงชาติไทย….ซึ่งเราทำได้แล้วค่ะ

V.A.C. Cavemen : ปีนี้ได้ที่ 5 แล้ว ปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่เท่าไหร่ครับ

D-Maniac : แชมป์เลยค่ะ คือทุกปีที่ไปตั้งแต่ปี 2011 เราคิดไว้ทุกปีว่าเราจะต้องได้แชมป์ เราไม่ได้หลงตัวเองแต่เราปักธงเอาไว้แล้วค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปคว้าธงนั้นให้ได้ การที่เราจะปีนให้ถึงยอดเขาเอเวอร์เรสท์นั้น เราต้องปักธงไว้ที่ดวงจันทร์ค่ะ เพื่อที่จะได้มองเห็นเป้าหมายอย่างชัดเจน หากเราตั้งเป้าไว้แค่ที่ 3 พอเราคว้าที่ 3 ได้แล้วมันก็จะหมดไฟ เราขอคว้าแชมป์ให้ได้ซักครั้ง นั่นคือสิ่งที่เราอยากจะตอบแทนประเทศไทย เราอยากร้องเพลงชาติให้ทุกคนได้ฟังค่ะ…

เรามาดูการแสดงที่พวกเราพูดถึงกันดีกว่าครับ…การแสดงในรอบสุดท้ายของทีม D-Maniac ในงาน World Hip Hop International ที่ Las Vegas ประเทศสหรัฐอเมริกา

V.A.C. Cavemen : สุดท้ายมีอะไรอยากจะฝากถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่อาจจะได้เข้ามาอ่านบทความนี้และหลงรักในการเต้นเหมือนกับเรา มีอะไรอยากจะแนะนำมั้ยครับ

D-Maniac : เราจะมีคำพูดประจำทีมอยู่ 2 คำคือ “Believe” และ “Never Give Up” ควบคู่กัน เพราะเมื่อคุณมีความเชื่อแล้วลงมือทำคุณก็จะต้องไม่ยอมแพ้ด้วย เพื่อที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ นั่นคือสิ่งที่เรายึดถือมาตลอด และสำหรับตัวทรายอยากจะฝากถึงทุก ๆ คนว่า “อย่ากลัวในสิ่งที่ตัวเองชอบ อย่ากลัวในสิ่งที่เป็นตัวเราและอย่ากลัวในสิ่งที่สังคมจะตัดสินเรา เพราะเค้าแค่ยังไม่เข้าใจและยังมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ เชื่อในสิ่งที่คุณเป็นและไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่เป็นคุณแล้วสังคมก็จะเปิดใจยอมรับคุณเอง นั่นคือสิ่งที่ทรายอยากจะบอกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเต้น หรือเรื่องที่คุณอยากจะเป็นเชฟ, นักบินอวกาศหรืออะไรก็ตาม หาตัวเองให้เจอแล้วเป็นคนคนนั้นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น อย่าทิ้งความฝัน อย่าล้มเลิกและก็อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะพิสูจน์มันได้ด้วยตัวของคุณเอง…ไม่มีอะไรถูกและก็ไม่มีอะไรผิด ถ้าเรายังไม่ได้ลองทำ”

ช่องทางการติดตาม

Full Story: http://www.vacthailand.com/index.php?route=bossblog%2Farticle&blog_article_id=56